1. จดหมายถึงครู
โดย...ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์
วันนี้เมื่อกระแสกดดันการศึกษาไทยรุนแรงมากขึ้นจากโซเชียลมีเดีย และจากที่คนไทยเริ่มรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงแบบหักศอกในโลกยุค Disruption หรือยุคทำลายล้างเพื่อเกิดสิ่งใหม่ที่ดีกว่า จึงกังวลว่าลูกหลานไทยจะสู้ใครไม่ได้ เพราะการศึกษาไทยติดหล่ม ถึงแม้รัฐจะทุ่มเทเต็มกำลังก็ตามที อนาคตไทยก็ยังน่าเป็นห่วง เมื่อการศึกษาไทยมีปัญหา “ครู” มักกลายเป็นจำเลยของสังคม หรือ “ผิดเป็นครู” บ้างก็ว่าครูรุ่นใหม่ขาดจิตวิญญาณ ครูรุ่นเก่าไม่ปรับตัว แต่ปัญหาครูก็เป็นเพียงปัจจัยเดียวเท่านั้น ในหลายปัจจัยของวงการศึกษาไทย การที่ครูมักต้องเป็นแพะรับบาปร่ำไป ผมจึงรู้สึกได้ถึงความไม่เป็นธรรม เพราะตัวผมก็เป็นครู พ่อแม่ของผมก็เป็นครู เรียนมาตั้งแต่อนุบาลจนจบปริญญาเอก มีวันนี้ได้ก็เพราะมีครู จึงขอเถียงเลยว่าครูต้องดี แต่...วันนั้นกับวันนี้อาจต่างกันและโลกในวันหน้าก็ยิ่งต่างกันสิ้นเชิง ครูในอนาคตจะเป็นอาชีพที่ถูกท้าทายมากที่สุด ในยุคที่เด็ก I don’t care คือ ไม่สนว่าเรียนแล้วได้อะไร ไม่เชื่อว่าหลักสูตรตอบโจทย์ชีวิต ผนวกกับยุคนายจ้าง I don’t care เหมือนกัน คือ ไม่สนว่าคุณเรียนจบแล้วได้ปริญญาอะไรมา หรือจะจบมหาวิทยาลัยดังแค่ไหนก็ตาม หากทำงานไม่ได้ ไม่ดี ฉันก็ไม่สน ไม่จ้าง ครูจึงต้อง “เปลี่ยน” เพราะหากไม่เปลี่ยน ไม่ใช่แค่ “แพ้” แต่ถึงกับ “สูญพันธุ์” ดังนั้น ครูยุค Disruption ควรต้อง 1.สอนเด็กให้ทำงานได้ ทำงานเป็นมีความเชี่ยวชาญจริง ไม่ใช่สอนเพื่อไปสอบ เพื่อไปได้ปริญญา เพราะใบปริญญากำลังจะหมดความนิยม 2.สอนเพื่อตอบโจทย์โลกแห่งความเป็นจริง (Real World) ใช้ได้ในชีวิตจริง ไม่ใช่สอนตามหนังสือตามแบบฝึกหัด 3.ยอมปรับตัวแรงและเร็ว ไม่มีทำแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะในโลกดิจิทัลหนึ่งนาทีก็ช้าไปแล้ว 4.มีความ “เข้าใจ” และ “เข้าถึง” เด็กผู้เรียนอย่างแท้จริง สื่อสารได้ด้วยวิธีการใหม่ๆ ลืมของเดิมไปเลย 5.ไม่หลบหลีกเทคโนโลยีชั้นสูงในการเรียนการสอน ควรรู้ทั้งเรื่องการเรียนออนไลน์ การใช้เครื่องมือใหม่ๆ อีกทั้งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI จะเข้ามาเต็มรูปแบบ 6.พบเจอกับการประเมินรายบุคคล ทั้งจากเด็กและการจัดอันดับการสอนแบบทันที (Real Time) ด้วยบิ๊กดาต้าและบล็อกเชนเป็นยุคที่ทำดีก็ได้ดีเร็ว ทำเสียก็ไปเร็วเช่นกัน 7.คิดหลักสูตรเองและเครื่องมือเรียนรู้เองได้ สร้างสรรค์ความแตกต่างแบบไม่ซ้ำใคร 9.มีจิตวิญญาณความเป็น “ครู” ยังไงก็ยังสำคัญที่สุด จึงขอให้กำลังใจให้ผู้ที่จะเป็น “ครูมืออาชีพ” ขณะที่การเป็นครูยิ่งยากมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเป็นหน้าที่ของรัฐและสังคมไทย ที่จะต้องดูแลครูให้มากขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องเงินเดือน สวัสดิการ แต่ต้องเป็นเรื่องการส่งเสริมพัฒนาอาชีพครู ถึงจะเป็นธรรม ไม่ใช่คาดหวังสูง แต่ไม่เหลียวแล คงไม่แฟร์สำหรับครู และขอเป็นกำลังใจให้รัฐบาล กระทรวงศึกษาธิการ ด้วยเช่นกัน เพราะรู้ว่าเป็นเรื่องยากมาก ผมจึงขอส่งจดหมายถึงครูไทยทุกคนว่า คนไทยเรายังรักครูครับ สู้สู้ ขอบคุณที่มาเนื้อหาจาก โพสต์ทูเดย์ วันที่ 24 กันยายน 2561
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://www.kroobannok.com/85542
2. การจัดการศึกษาที่หลากหลาย เพื่อแสวงหาแนวทาง ‘ปฏิรูป’
ดร.พีระพงษ์ สิทธิอมร
ประเทศไทยมีเป้าหมายการพัฒนาประเทศตามแนวทางนโยบายแห่งรัฐสอดคล้องกับการพัฒนาที่แท้จริง กล่าวคือ มุ่งพัฒนาประเทศให้มีความมั่นคงและยั่งยืน โดยวางแผนพัฒนาศักยภาพของพลเมืองโดยแนว EO ED EA EO = Education Online ED = Education Distance Learning EA = Education Advisor มุ่งเน้นการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง เช่น แนวทางการดำเนินการ กอปศ. โดยการร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ร่าง พ.ร.บ.กองทุนความเสมอภาคทางการศึกษา ร่าง พ.ร.บ.เด็กปฐมวัย ร่าง พ.ร.บ.โรงเรียนในกำกับของรัฐ ร่าง พ.ร.บ.เขตพื้นที่นวัตกรรมทางการศึกษา เป็นการแปลงร่างแม่โขงเอามาบรรจุขวดรีเจนซี่ (เหล้าเก่าในขวดใหม่) ก็อาจจะกล่าวว่าการจัดการศึกษาที่ใช้ทิศทางทำอะไร ปฏิรูปอะไร ก็ไม่ถูกแนวทางปฏิรูป มีนักการศึกษาเต็มบ้านเต็มเมือง แต่ใช้คนไม่ถูกกับงานปฏิรูป มีแต่คนมีชื่อเสียงจากครุศาสตร์กับศึกษาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยบ้าง นายกรัฐมนตรีก็คิดได้ไม่หมดกับแนวทางการจัดการศึกษา อาศัยการใช้กฎหมาย ม.44 มาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในการบริหารงานบุคลากร การปฏิรูปหลงทาง เป็นต้นว่า นโยบายลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ การจัดการศึกษาในระบบขาดเอกภาพ การบริหารเหลื่อมล้ำ แนวทางการแก้ปัญหาการจัดการศึกษาขาดเอกภาพ ต้องใช้ Multidimention Education in Reform of Thailand อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปที่ล้มเหลวอีกด้านก็สื่อด้านปฏิรูปอาชีวศึกษา ความล้มเหลวด้านกระบวนการส่งเสริมสนับสนุนการวิจัยพัฒนาต่อยอดด้านวิชาชีพ การเรียนระบบอาชีวศึกษาเป็นนักศึกษาเกรด B มีของระบบวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย การเรียนแล้วว่างงาน การเลือกเรียนอาชีวศึกษาเป็นการเรียนที่มาจากความต้องการความสนใจเรียนแบบขอไปที ซึ่งไปเรียนที่ไหนไม่ได้ สถาบันอาชีวศึกษาขาดสื่อการสอนที่ดี ดังคำกล่าวของ รศ.วุฒิชัย กปิลกาญจน์ คณะกรรมการการอาชีวศึกษา คณะกรรมการการศึกษาและกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้วิเคราะห์ปัญหาอาชีวศึกษาด้านทักษะ ด้านจริยธรรม ตลอดจนความสามารถในการพัฒนาอาชีวศึกษาไปสู่นโยบายไทย Thailand 4.0 ดังนี้ 1.สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ควรพัฒนาหลักสูตรเพื่อผลิตบัณฑิตที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับการทำงานในภาคอุตสาหกรรม ยึดมั่นในค่านิยมหลัก คือ คิดเป็น ทำเป็น เรียนรู้ด้วยตนเองได้ มีใจรักและทุ่มเทในการสร้างผลงานที่ดีที่สุด มีการพัฒนาปรับปรุงผลงานอย่างต่อเนื่อง 2.สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ควรมีกระบวนการคัดเลือกผู้เข้าเรียนสาขาช่างอุตสาหกรรมของสถาบันอาชีวศึกษา โดยทดสอบพื้นฐานความรู้ทางด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ และกำหนดให้มีการเรียนปรับพื้นฐานสำหรับผู้มีความรู้น้อยก่อนเปิดภาคการศึกษา 3.สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา ควรพัฒนาสมรรถนะของครูผู้สอนทางด้านวิชาชีพและครูผู้สอนทางสายสามัญ เพื่อให้มีความรู้ความสามารถในการจัดการเรียนการสอนแบบ Problem Based Learning และ Project-Based Learning โดยครูผู้สอนต้องมีความสามารถในการบูรณาการการจัดการเรียนการสอนร่วมกับการทำงานจริงได้ 4.สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ควรพัฒนาครูให้สามารถวัดและประเมินผลการศึกษาได้อย่างมีคุณภาพ โดยเน้นการประเมินสมรรถนะ มีรูปแบบการวัดและการประเมินผลที่มีความหลากหลาย ยืดหยุ่นตามลักษณะบริบทของงานที่มีความแตกต่างกันในแต่ละสาขาอาชีพ ครูผู้สอนต้องมีความรู้ความสามารถในการประเมินผลการเรียนการสอน โดยกำหนดเกณฑ์ในการประเมินผลงาน/ชิ้นงาน ที่มีมาตรฐาน และมีความชัดเจน เพื่อให้สามารถประเมินผลงานที่มีความหลากหลายได้อย่างยุติธรรม 5.ผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษา ต้องสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ให้ผู้เรียนสนใจที่จะเข้าเรียน ควรมีการจัดหาวัสดุ ครุภัณฑ์ที่เหมาะสมและพอเพียงกับการใช้ในกระบวนการจัดการเรียนการสอน และสามารถนำไปประยุกต์กับการปฏิบัติงานจริงได้ และต้องให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และดิจิทัลเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการปฏิบัติงาน 6.ครูผู้สอนทางช่างอุตสาหกรรม ต้องตระหนักถึงความสำคัญในการผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพให้กับสถานประกอบการ จึงต้องใส่ใจในการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เรียนรู้และศึกษาในสิ่งใหม่ๆ มีความสามารถใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และดิจิทัลเทคโนโลยีที่ทันสมัยได้ เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกศิษย์ การจัดการศึกษามีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาในระดับใด แต่ละรูปแบบพัฒนาขึ้นจากองค์ประกอบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องตั้งแต่สภาพทางเศรษฐกิจ สังคม ตลอดไปจนถึงการเมืองของประเทศนั้นๆ และมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ในส่วนของประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันแบ่งการศึกษาเป็นสายสามัญและสายวิชาชีพ ก็เช่นเดียวกับที่มีการปรับเปลี่ยนตลอดมา แต่ส่วนใหญ่จะเป็นในส่วนของโครงสร้างการบริหาร ทำให้เกิดข้อข้องใจในคุณภาพการศึกษาของผู้ที่จบการศึกษาสาขาต่างๆ ตลอดมา รวมถึงขาดแคลนกำลังคนในบางสาขาวิชา เช่น อาชีวศึกษาทางด้านอุตสาหกรรม ฯลฯ จึงต้องมีการปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบอย่างรีบด่วน เพื่อสนองตอบต่อความต้องการกำลังคนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพ เหมาะสมกับการพัฒนาประเทศในโลกยุคดิจิทัลและการสื่อสารที่ไร้พรมแดน การปฏิรูปการศึกษาตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีครั้งนี้ ล้มเหลวตั้งแต่การจัดการศึกษาในระบบโรงเรียนนอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยแล้ว ละเลยผู้ที่ขาดโอกาสในวัยแรงงาน ผู้สูงอายุ สตรีและเด็ก การจัดการศึกษาขาดเอกภาพในการจัดอย่างครอบคลุม และมีความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสื่อ และกระบวนการเรียนรู้ ผู้เสนอบทความนี้ เห็นควรจัดการศึกษาให้ครอบคลุมทุกมิติเป็นรูปแบบปฏิรูปในลักษณะ Multidimention Education in Reform for Thailand จะได้จัดการศึกษาอย่างทั่วไปตามความต้องการความสนใจอย่างเสมอภาค ควรจัดแบบ EO = Education Online โดยคำนึงถึงความต้องการของผู้เรียน ให้เลือกหลักสูตรเลือกวิชาที่สนใจตรงกับความต้องการอาชีพอย่างเหมาะสม ED = Education Distance Learning การศึกษาทางไกลผ่านสื่อดาวเทียม เรียนได้ทุกที่ทุกเวลาทุกโอกาสและบุคคล EA = Education Advisor การเรียนรู้ภายใต้การดูแลของอาจารย์ที่ปรึกษา คอยสนับสนุนส่งเสริมการเรียนรู้ที่เหมาะสมด้านหลักสูตร เหมาะสมกับวัย เหมาะสมกับเวลา เหมาะสมกับการทำงานและอาชีพ อย่างไรก็ดี ในบทสรุปของการปฏิรูปการศึกษาควรตั้งและมีมโนธรรมสำหรับการบริหารระดับสูงที่จะเลือกกลุ่มวิชาการไปร่วมงาน ควรเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างฉลาดเฉลียวกับงานปฏิรูป ควรเป็นระบบกิจกรรมการพัฒนาควรหลากหลาย ไม่เน้นเฉพาะเรื่องหลักสูตรครู นักเรียน สื่อ หรือวิธีสอนเท่านั้น ควรให้ครบทุกมิติครบทุกกิจกรรม มีกระบวนการการปฏิบัติได้ ต้องเห็นผลมีสิทธิภาพ เกิดคุณภาพที่ประเมินได้ สามารถตอบโจทย์การปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบ นอกระบบอย่างทั่วถึงและเสมอภาค การพัฒนาประเทศจึงจะบรรลุเป้าหมายของแผนพัฒนาประเทศไทย
ขอบคุณที่มาเนื้อหาจาก มติชนออนไลน์ วันที่ 13 กรกฎาคม 2561 - 17:25 น.
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://www.kroobannok.com/85177
3. ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ศตวรรษที่ ๒๑ : ไทยแลนด์ ๔.o
รศ.(พิเศษ) ดร.พรชัย เจดามาน
ผู้นำในศตวรรษที่ 21 : ไทยแลนด์ 4.0 สิ่งที่ท้าทายความสามารถ คือ ความสามารถนำพาองค์กรของตนให้อยู่ในฐานะผู้นำการเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ ผู้นำการเปลี่ยนแปลงจะมองเห็นการเปลี่ยนแปลงว่าเป็นโอกาส การทราบวิธีการค้นหาการเปลี่ยนแปลงที่ถูกต้อง และทราบวิธีที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างมีประสิทธิผลทั้งจากภายนอกและภายในองค์กร ได้แก่ ด้านนโยบายการสร้างอนาคต ด้านวิธีการอย่างเป็นระบบในการมองหาและคาดการณ์ถึงการเปลี่ยนแปลง ด้านวิธีที่ถูกต้องในการสร้างความคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอกองค์กร ด้านนโยบายในการสร้างสมดุลระหว่างการเปลี่ยนแปลงกับความต่อเนื่อง เพราะนโยบายการสร้างสรรค์สิ่งใหม่อย่างเป็นระบบ สามารถสร้างจิตสำนึกให้องค์กรในฐานะที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งยังทำให้องค์กรมองเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นคือโอกาสที่เกิดขึ้นมาใหม่ภายใต้บทบาทสำคัญ ๑. การทำความรู้จักกับการเปลี่ยนแปลง (To Make the Change) การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมาจากการแข่งขันที่ไร้พรมแดน โลกกำลังอยู่ในยุคของเทคโนโลยีและข่าวสาร ความรู้เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน ดังนั้นเมื่อผู้นำเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงแล้วก็จะสามารถจัดการกับการเปลี่ยนแปลงได้ โดยการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา มีผลกระทบหรือมีปฏิสัมพันธ์กับองค์กร ๒. ผู้นำต้องสร้างการเปลี่ยนแปลง (Leadership to Change Intervention) ของแผนปฏิบัติการในการปรับแต่งสิ่งต่าง ๆ ให้แตกต่างจากเดิม โดยอาจจะกระทำอย่างรวดเร็วหรือกระทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป การบริหารความเปลี่ยนแปลงนั้น จะต้องเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงก่อนแล้วจึงกำหนดเป้าหมายและเลือกวิธีที่จะนำมาใช้ในการจัดการกับความเปลี่ยนแปลงซึ่งต้องอาศัยการวางแผนการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์แล้วจึงนำไปปฏิบัติตามแผนที่ต้องอาศัยความเข้าใจและความร่วมมือจากทุกคนในองค์กร มีการเสริมแรงให้กับความเปลี่ยนแปลงโดยการชี้แจงให้บุคลากรในองค์กรทราบถึงความเปลี่ยนแปลงหรือการปรับปรุงที่ได้เกิดขึ้นแล้วและแสดงความขอบคุณต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องและมีส่วนช่วยให้เกิดความเปลี่ยนแปลงแล้วจึงทำการประเมินผลต่อไป ๓. การเป็นตัวแทนความเปลี่ยนแปลง (Change Agent) การเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง หรือมีหน้าที่ในการจัดกระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรเพื่อพัฒนา เน้นผลการปฏิบัติงานโดยส่วนรวมมากกว่าการเน้นไปที่ผลงานของแต่ละคนในองค์กร ให้บุคลากรในองค์กรรับรู้ถึงผลการดำเนินงานขององค์กร เพื่อให้ทราบถึงสถานการณ์และวิกฤตการณ์ต่างๆที่องค์กรเผชิญอยู่ เช่น จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาสและอุปสรรค ๔. การเป็นนักคิด นักพัฒนาที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก (The Thinkers Developers keep Pace with the Changing World) มีวิสัยทัศน์ในการบริหารงานที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง และไม่ยึดติดต่อสิ่งใด ๕. การบริหารงานแบบประชาธิปไตย (Democratic Administrational) รับความคิดเห็นของผู้อื่น ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมแก้ปัญหากับบุคลากรในองค์กร ๖. การเป็นผู้ประสานงานในองค์กรให้เกิดการทำงานที่ราบรื่น (Organization is Coordinating a Smooth Operation) มุ่งให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน และประสานงานนอกองค์กรให้เกิดภาคีเครือข่ายร่วมคิด ร่วมจัดการศึกษา ๗. การประนีประนอม (Compromise) ผู้นำต้องพยายามไม่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเกิดความขัดแย้งในองค์กร เป็นผู้ประนีประนอมเมื่อเกิดปัญหา ๘. การประชาสัมพันธ์ (Public Relations) ผู้นำต้องสนับสนุนให้ทุกคนทำรายงานผลการดำเนินงาน และนำรายงานมาประชาสัมพันธ์ให้ผู้เกี่ยวข้องและสาธารณชนทราบ ๙. การประชาสงเคราะห์ (Public Welfare) ผู้นำจะต้องให้ความช่วยเหลือผู้ร่วมงานทุกเรื่อง เป็นห่วงเป็นใยตลอดเวลา จะประสานงานกับหน่วยงานอื่นเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ร่วมงาน การพัฒนาอย่างต่อเนื่องให้ทุกคนมีความก้าวหน้า การให้อภัย การตักเตือน การเป็นกัลยาณมิตร ทักษะของภาวะผู้นำศตวรรษที่ ๒๑ : ไทยแลนด์ ๔.o ที่จะประสบความสำเร็จและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร ได้แก่ การสร้างทีมงานที่มีประสิทธิผลสูง (Highly Effective Team Building) การแก้ปัญหา (Problem Solving) การวางแผน (Planning Project) การกำกับการ ปฏิบัติงาน (Performance Monitoring) และการสื่อสารที่ดี (Communication and Climate set) การสร้างสัมพันธ์ (Relationship Building up) และการสอนงาน (Coaching) การสร้างสังคม (Social) และการติดสินใจ (Decision Making) การกระตุ้นจูงใจ (Motivational) การคิดเชิงสะท้อน (Reflective Thinking) และการจัดการตนเอง (Self - Management) การใช้เทคโนโลยี (Technological) การเรียนการสอน (Pedagogical) รวมทั้งความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) ตลอดจน การบริหารที่ยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ (Administration and Flexibly Adapted to the Situation) มีแนวทาง ดังนี้ ๑. การวางแผน (Planning) การวางแผนที่ดีด้วยแผนกลยุทธ์ นโยบาย แผนงานที่ชัดเจนเข้าใจง่าย โดยการวางแผนนั้นต้องมีแนวปฏิบัติที่เป็นแนวทางในการวางแผนกลยุทธ์ได้เป็นอย่างดีและสามารถปรับปรุงยืดหยุ่นให้สอดรับกับนโยบายให้เป็นวิสัยทัศน์ พันธะกิจ เป้าประสงค์ ๒. การจัดองค์กร (Organizing) เป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่าสิ่งใดจะต้องมีการจัดโครงสร้างอย่างชัดเจนทั้งสายงานจัดบุคคลากรตามสายบังคับบัญชา การแบ่งหน้าที่ของฝ่ายงานอย่างเป็นระบบงาน และมีทีมงานในการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ ๓. การบังคับบัญชา (Commanding) มีการตัดสินใจสั่งการที่เป็นกัลยาณมิตร การสั่งการเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการบังคับบัญชาดูแลตรวจสอบและติดตาม ๔. การประสานงาน (Coordinating) ทั้งภายในองค์กรและระหว่างองค์กร ดังนั้นต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์เพื่อประสานงานต่างๆ และให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ ๕. การควบคุม (Controlling) จำเป็นต้องมีการควบคุม ดูแลทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า เพื่อให้การจัดการมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลโดยผ่านองค์ประกอบพฤติกรรม ๕ ประการ คือ ๑. การมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ (Idealized Influence) เป็นระดับพฤติกรรมการทำงานที่ผู้นำแสดงให้เห็นและเป็นกระบวนการทำให้ผู้ร่วมงานยอมรับ เชื่อมั่น ศรัทธา ภาคภูมิใจ ไว้วางใจในความสามารถ มีความเสียสละเพื่อประโยชน์ขององค์กร มีเป้าหมายชัดเจนและมั่นใจที่จะเอาชนะอุปสรรค์ การมีวิสัยทัศน์และการถ่ายทอดไปยังผู้ร่วมงาน มีความสามารถ มุ่งมั่น ตระหนักและทุ่มเท มีความสามารถในการจัดการ หรือควบคุมตนเอง เห็นคุณค่า มีคุณธรรมและจริยธรรม ๒. การสร้างแรงบันดาลใจ (Inspiration Motivation) เป็นระดับพฤติกรรมที่ผู้นำแสดงให้เห็นในการทำงาน ที่เป็นกระบวนการทำให้ผู้ร่วมงาน มีแรงจูงใจภายใน ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน การตั้งมาตรฐานในการทำงานสูง มีการคิดเชิงบวกและเชื่อมั่นว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมาย ๓. การกระตุ้นทางปัญญา (Intellectual Stimulation) เป็นระดับพฤติกรรมที่ผู้นำแสดงให้เห็นในการทำงานที่เป็นกระบวนการกระตุ้นผู้ร่วมงานให้เห็นวิธีการ หรือ แนวทางใหม่ในการแก้ปัญหา การมองปัญหาเชิงระบบในแง่มุมต่างๆ การวิเคราะห์ปัญหาโดยใช้เหตุผลและข้อมูลหลักฐาน มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ๔. การคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล (Individualized Consideration) เป็นระดับพฤติกรรมที่ผู้นำแสดงให้เห็นถึงการคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล มีการเอาใจเขามาใส่ใจเรา มีการติดต่อแบบสองทางและเป็นรายบุคคล มีการวิเคราะห์ความต้องการและให้คำแนะนำ รวมทั้งการส่งเสริมให้ผู้ร่วมงานได้พัฒนาตนเองและยึดหลักการบริหารงานแบบกระจายอำนาจ มีเทคนิคการ มอบหมายงาน ที่ดี ๕. การสร้างทีมงาน (Teams) การมีความสามารถหรือพลังงานพิเศษของบุคคล การรวมกันของกลุ่มคนขึ้นมาอย่างเหมาะสมและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://www.kroobannok.com/83312
4. กบฎสร้างสรรค์ทางการศึกษา
สมพงษ์ จิตระดับ สุอังคะวาทิน นวพร สุนันท์ลิกานนท์ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ประเทศไทยเรานี้มีความพยายามหลายครั้งหลายหนที่จะปฏิรูปการศึกษา แต่ความพยายามนั้นๆ กลับปฏิรูปได้เพียงโครงสร้างระบบการบริหารจัดการของหน่วยงานทางการศึกษา ปัญหาเรื่องคุณภาพการศึกษากลายเป็นเรื่องที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรแต่ละครั้ง หากแต่ไม่ได้เป็นประเด็นหลักสำคัญที่ทุกคนให้ความสนใจและทุ่มเทกำลังแรงกายแรงสมองอย่างจริงจัง การศึกษาให้ลึกถึงแก่นของปัญหาคุณภาพการศึกษาที่นับวันยิ่งจะย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ นั้นไม่ได้ถูกให้ความสำคัญหรือให้เวลามากนัก จะเห็นได้จากการสั่งการนโยบาย ปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่ส่งผลตรงต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ชาติไทยได้อย่างรวดเร็วโดยมิได้มีข้อมูลหลักฐานเชิงประจักษ์ในการสนับสนุนการตัดสินใจสำคัญๆ แต่ละครั้งเลย การสั่งการนโยบายจากบนลงล่างที่กลับไปกลับมา จึงอาจจะเป็นหนึ่งในต้นเหตุของปัญหาคุณภาพการศึกษาของประเทศไทยก็เป็นได้ รัฐมนตรีที่เข้ามาดูแลเชิงนโยบายมีช่วงเวลาบริหารเฉลี่ยคนละ 6 เดือน 16 วัน ไม่เพียงการสั่งการบนลงล่างที่หาได้มีข้อค้นพบจากงานวิจัยหรือหลักฐานเชิงประจักษ์รองรับเท่านั้น การบริหารจัดการผ่านโครงสร้างเทอะทะ ส่งต่อคำสั่งผ่านช่องทางอำนาจแต่ละชั้นจนไปถึงหน่วยปฏิบัติการอย่างโรงเรียน ดูจะเป็นอีกหนึ่งปัญหา เนื่องจากการสั่งการและส่งตรงคำสั่งต่างๆ ลงมานั้น ไม่ได้รับการถ่ายทอดคำสั่งพร้อมการตีความและการทำความเข้าใจอย่างถูกต้องมาตั้งแต่ต้นทาง ถึงแม้ว่านโยบายสั่งการมีเจตนาดีต่อวงการศึกษามากเพียงใด ก็ไม่สามารถเปิดโอกาสให้การดำเนินการตามนโยบายนั้นๆ สำเร็จลุล่วงไปได้โดยสมบูรณ์ สอบตกตรงที่ “แผนเป๊ะ ปฏิบัติแป้ก” ก็มีให้เห็นอยู่บ่อยครั้งไป หน่วยปฏิบัติงานทางการศึกษาอย่างโรงเรียนจึงเป็นหน่วยที่รับเละเสียทุกที ความเข้าใจตรงกันและความต่อเนื่องเชิงนโยบายสอบตกตลอดมา ในทางกฎหมายโรงเรียนนิติบุคคลมีการกล่าวถึงในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 มาตรา 39 ว่าด้วยเรื่องการกระจายอำนาจของกระทรวงศึกษาในด้านวิชาการ งบประมาณ การบริหารงานบุคคล ตลอดจนการบริหารงานทั่วไปให้กับคณะกรรมการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และโรงเรียนในเขตพื้นที่การศึกษาโดยตรง “ในความเป็นจริงแล้วเป็นการกระจายอำนาจเพียงวาทกรรมเท่านั้น โรงเรียนไม่สามารถแม้แต่จะเลือกรับครูที่จบตรงสาขามาสอนให้กับเด็กในโรงเรียนได้เลย” คำกล่าวหนึ่งของนายโกวิท บุญเฉลียว ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านคูเมือง (อ่อนอนุเคราะห์) อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ที่ทำให้แม้แต่ผู้เขียนเองยังรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ การกระจายอำนาจที่ว่าไว้ในกฎหมายดูเหมือนจะอุดตันอยู่ระหว่างทางมาถึงโรงเรียนที่เป็นส่วนสุดท้ายของสายการสั่งการ แต่กลับเป็นที่ที่เข้าใจประเด็นปัญหาด้านคุณภาพการศึกษามากที่สุด ไม่เพียงโรงเรียนบ้านคูเมืองเท่านั้นที่ประสบกับปัญหาคุณภาพการเรียนของนักเรียนตกต่ำลงไปเรื่อยๆ ทั้งด้านการเรียนรู้ พฤติกรรม และคุณธรรม โรงเรียนเครือข่ายร่วมอุดมการณ์ อาทิ โรงเรียนบ้านนาจาน โดย ผอ.ปัญญา กาละปัตย์ โรงเรียนบ้านหนองหวาย โดย ผอ.บพิตร บุญเฉลียว โรงเรียนบ้านผึ้ง (มธุลีย์ประชาสรรค์) โดย ผอ.ธีระวัฒน์ ทองใส และโรงเรียนบ้านดอนยู โดย ผอ.พินิจ บุดดาลี ได้สร้างสรรค์นวัตกรรมในการแก้ไขปัญหาเฉพาะที่เกิดขึ้นในโรงเรียน ผู้อำนวยการแต่ละโรงเรียนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน ทั้งเรื่องรูปแบบการจัดการปัญหาคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียน การใช้ทรัพยากรเท่าที่มีร่วมกัน การเปิดโอกาสและการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตลูกหลาน เพราะการแก้ปัญหาเรื่องการเรียนรู้ของเด็กจะรอการสั่งการหรือการสนับสนุนเยียวยาจากรัฐไม่ได้ ไม่ทันการณ์และอาจแก้ไม่ตรงจุดที่เป็นปัญหาจริงๆ ความกล้าหาญในการรวมกลุ่มกันของโรงเรียนจึงเป็นการสานพลังกลุ่มเพื่อปลดแอกโรงเรียนออกจากข้อจำกัดภายใต้การทำงานในระบบบริหารส่วนกลาง เป็นโรงเรียนนิติบุคคลที่สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมในการจัดการเรียนรู้และแก้ปัญหาทางการเรียนรู้ได้โดยตรง นับเป็นความกล้าหาญทางวิชาการของกลุ่มผู้บริหารในระบบราชการที่น่ายกย่องยิ่ง นวัตกรรมหนึ่งที่ ผอ.โกวิท และ ผอ.โรงเรียนเครือข่ายได้นำไปใช้ คือการจัดกลุ่มนักเรียนตามความสามารถในการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้สอดคล้องกับศักยภาพที่มี หากมองเพียงเรื่องการจัดกลุ่มเด็กและสอน หลายคนอาจไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหม่ ไม่ใช่นวัตกรรม แต่การแบ่งกลุ่มนักเรียนนี้เป็นหนึ่งในกระบวนการค้นหาความสามารถที่แฝงอยู่ในตัวผู้เรียนและสามารถแบ่งได้เป็นกลุ่มถนัดวิชาการ กลุ่มถนัดการแสดงออก และกลุ่มถนัดงานช่าง ซึ่งการแบ่งกลุ่มดังกล่าวต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการจัดการศึกษา โรงเรียนจัดสรรเรื่องตารางเวลาเรียน ออกแบบรายวิชาและกิจกรรม การบูรณาการศาสตร์วิชาการเข้าการศาสตร์อาชีพ “นักเรียนของโรงเรียนบ้านคูเมืองมีปัญหาหลากหลายทั้งโดดเรียน ขโมยเครื่องอะไหล่ยนต์ มีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง บางครั้งก็ต้องไปประกันตัวลูกๆ นักเรียนออกมาบ้าง แต่ถ้าเราลองศึกษาทำความเข้าใจเด็กลงไปลึกๆ แล้วจะรู้ว่าเด็กกลุ่มนี้ไม่ได้มีต้นทุนทางครอบครัวอย่างคนอื่นเขา แล้วเรายังจะผลักเขาอีกหรือ ถ้าไม่ถนัดเรียน เรายังช่วยส่งเสริมและพัฒนาเขาในทางที่เขาถนัดได้” ผอ.โกวิท ใช้แนวคิดการพัฒนาการเรียนรู้บนฐานชีวิต เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนสามารถพัฒนาศักยภาพตนเองได้ จึงเกิดการจัดการเรียนรู้บนฐานชีวิตขึ้น โดยบูรณาการความรู้วิชาการคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เข้ากับความรู้ศาสตร์อาชีพ เช่น การซ่อมเครื่องยนต์ การก่อสร้าง และการเกษตร ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับกลุ่มที่ถนัดงานช่าง ถึงแม้นักเรียนกลุ่มนี้อาจจะไม่ได้มีคะแนนที่สูงจากการวัดด้วยแบบทดสอบมาตรฐานชาติ เครื่องมือเดียววัดและประเมินเด็กทั่วราชอาณาจักร แต่สิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้ระหว่างทางคือการคำนวณปริมาณปูน น้ำ ทราย จำนวนก้อนอิฐระหว่างการก่อสร้างห้องหนังสือ การผสมอัตราส่วนดิน ปุ๋ยคอก การพัฒนาพันธุ์มะนาวไร้เม็ด เป็นต้น จากความพยายามเปิดโอกาสในการเรียนรู้ของนักเรียน ทำให้เห็นผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ นักเรียนมองเห็นศักยภาพที่แฝงอยู่ในตัวเอง เห็นคุณค่าของการเรียนรู้และอยากพัฒนาตนเอง ดังนั้นการแยกกลุ่มการเรียนนี้เป็นไปเพื่อการยุบรวม การสร้างคุณค่าของการเป็นมนุษย์และการเรียนรู้อย่างมีความสุข พ่อแม่ผู้ปกครองรวมถึงชุมชนก็มีส่วนในการพัฒนาศักยภาพลูกหลานของตนเอง โดยการเป็นครูภูมิปัญญา ส่งต่อความรู้และฝึกทักษะอาชีพให้คงอยู่ต่อไป การเปลี่ยนแปลงทางบวกทั้งด้านสติปัญญา พฤติกรรม และคุณธรรมไม่ใช่เพียงความภาคภูมิใจของตัวเด็กเองเท่านั้น แต่เป็นทั้งความภูมิใจของครู โรงเรียนและชุมชน “การปฏิรูปการศึกษาที่แท้จริง คือการปฏิรูปการเรียนรู้ของผู้เรียนโดยต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลเป็นที่ตั้ง” แล้วผู้ใหญ่ในวงปฏิรูประบบการศึกษาของไทยตอนนี้ ได้ตั้งคำถามอย่างจริงจังต่อการยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยแล้วหรือยัง การปฏิรูปการศึกษาต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่ ล่างสู่บน ปลดปล่อยโรงเรียนให้เป็นนิติบุคคลที่มีอำนาจในการบริหารจัดการบุคคล บรรจุแต่งตั้ง การพิจารณาความดีความชอบ งานวิชาการ หลักสูตรภูมิสังคม แผนการสอน กลุ่มประสบการณ์ การฝึกอบรม การนิเทศภายใน ผลสัมฤทธิ์ทักษะสมรรถภาพของผู้เรียน การบริหารงบประมาณ ค่าใช้จ่ายที่ตรงกับปัญหา สภาพข้อเท็จจริงที่มีอยู่ การสร้างเครือข่ายระบบโรงเรียนให้ชุมชนประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในโรงเรียนมากขึ้น ภายใต้แนวคิด “คืนโรงเรียนให้ชุมชน คืนครูสู่ห้องเรียน และคืนครูให้นักเรียน” การออกกฎหมายโรงเรียนนิติบุคคลในระบบให้เป็นทางเลือกที่สร้างสรรค์จากระบบโรงเรียนที่มีอยู่ ในขณะเดียวกันให้ความสำคัญกับแนวคิดจังหวัดจัดการศึกษาเพื่อตนเอง (กศจ.) ให้มีความอิสระในการบริหารงานให้สอดคล้องกับสังคมบริบทในแต่ละพื้นที่ ทบทวนใหม่ รื้อลดการเพิ่มองค์กรภูมิภาคที่ขัดแย้งทับซ้อนเชิงอำนาจ จะเป็นปัญหาแก้ไขยากในระยะยาว ดังเช่น เขตพื้นที่การศึกษา 268 เขต ศึกษาธิการจังหวัด 76 จังหวัด ศึกษาธิการภาค 18 แห่ง เป็นต้น สุดท้ายปรับขนาดส่วนกลางให้เล็กลงเหลือเพียงงานในเชิงนโยบาย กำกับติดตาม การสนับสนุนส่งเสริม และการตรวจสอบเชิงคุณภาพเท่านั้น นี่คือการกบฏสร้างสรรค์ทางการศึกษาอย่างแท้จริง
ขอบคุณที่มาเนื้อหาจาก มติชนออนไลน์ วันที่ 9 สิงหาคม 2560 - 15:09 น.
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://www.kroobannok.com/82605
5. ปฏิรูปการศึกษา ปฏิรูปอะไร ?
ดร. วิชัย พยัคฆโส
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย ได้กำหนดไว้ให้รัฐบาลต้องจัดการศึกษาให้แก่ประชาชนอย่างน้อย 12 ปี น่าจะส่งผลต่อนโยบายการศึกษาแห่งชาติ แต่ดูเหมือนมีเสียงวิพากย์กันว่าจะมีการปิดกั้นการปฏิรูปการศึกษา จึงไม่ทราบว่าเหตุนั้นคืออะไร การพัฒนาประเทศให้เป็นประเทศไทย 4.0 ตามที่รัฐบาลปักธงไว้ในอีก 20 ปี นั้น อาจเป็นไปไม่ได้เลย หากไม่เน้นให้ความสำคัญกับ “คน” ที่จะต้องหล่อหลอมสอนให้เป็น “คน 4.0 ” เช่นเดียวกัน ต้องยอมรับว่า พรบ. ปฏิรูปการศึกษา 2542 ไม่ประสบผลสำเร็จทั้งในระบบโครงสร้างและผลสัมฤทธิ์ ของคุณภาพการศึกษา จนประเทศเพื่อนบ้านเขาแซงหน้าไปหลายประเทศแล้ว การปฏิรูปการศึกษาคงต้องปฏิรูปกันทั้งระบบ หลายทิศทางและหลายปัจจัยแต่ต้อง บูรณาการให้สามารถยกระดับคุณภาพการศึกษาเป็นเป้าหมายสุดท้าย หรือ Outcome ที่จะเกิดขึ้น ทั้งโครงสร้าง การบริหารจัดการ การพัฒนาหลักสูตร การพัฒนาครู การพัฒนาวิธีการจัดการเรียนการสอนและการประเมินผล แต่ละเรื่องล้วนแล้วแต่ต้องมีมาตรการสนับสนุนอย่างเป็นระบบที่ต้องพัฒนาต่อเนื่องทั้งสิ้น ดูเหมือนว่าด้านโครงสร้างจะแยกกระทรวงอุดมศึกษาออกไป และแท่งต่างๆ ที่มีอยู่ ในปัจจุบันจะถูกหล่อหลอมใหม่ โดยบูรณาการให้สอดคล้องกับบริบทของแต่ละระดับ เช่น การศึกษา ขั้นพื้นฐาน อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา แต่เมื่อแยกแล้วควรต้องบริหารให้เกิดบูรณาการ ให้มี Outcome ไปในทิศทางเดียวกัน โดยใช้แผนการศึกษาแห่งชาติของสภาการศึกษาฯ เป็น Master Plan ที่ชัดเจน หากไปพิจารณาการศึกษาของประเทศที่พัฒนาแล้วจะพบว่า จำนวนครูกับสัดส่วน ของนักเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานอยู่ระหว่างครู 1 คน กับนักเรียน 12 – 20 คน เท่านั้น และต่างใช้วิธีการสอนแบบ Aclive leaning โดยใช้เทคนิคการสอนในรูปแบบต่างๆ ตาม Leaning Outcome ที่กำหนด คงมิใช่ปรับหลักสูตรโดยสอดใส่วิชาเข้าไปมากๆ แต่เพียงอย่างเดียว เหมือนบ้านเราที่มีเสียงบ่นกันว่าเรียนมาก ยัดเยียดเด็กมากเกินไป จนนายกรัฐมนตรีให้ลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้กันอยู่ขณะนี้ คุณภาพหรือผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาอยู่ที่วิธีคิดว่าต้องการให้เด็กไทยแต่ละระดับเขาได้เรียนรู้ได้ความรู้อะไรบ้าง เพื่อการพัฒนาประเทศตามหลักคิดของความต้องการในศตวรรษที่ 21 เช่น ด้านความสามารถ ต้องการทักษะเชิงนวัตกรรม ทักษะความคิดเชิงสร้างสรร ความคิดเชิงวิเคราะห์เป็นสมรรถนะเชิงประจักษ์ ด้านความรู้เสริม ต้องการภาษาต่างประเทศ และไอซีที ด้านทักษะทางสังคม ต้องการคุณธรรมจริยธรรม ความรับผิดชอบ จิตสาธารณะเพื่อสังคม และมนุษยสัมพันธ์ เป็นตัวอย่างของความต้องการในผลสัมฤทธิ์แต่ละด้าน ซึ่งด้านสมรรถนะคงต้องใช้ครูที่ใช้วิธีการเรียนการสอนแบบ Active leaning ให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าปฏิบัติได้ เช่น วิธีการสอนแบบ STEM ที่รวมศาสตร์ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี วิศวกรรมและคณิตศาสตร์ให้สามารถสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นนวัตกรรมได้ โดยเกิดทักษะด้านนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรและความคิดเชิงวิเคราะห์ได้ในระบบการสอน ด้านความรู้เสริม สอดแทรกในหลักสูตรและกิจกรรมเช่นเดียวกับทักษะทางสังคม ครูก็ต้องจัดกิจกรรมให้ซึมซับเข้าไปในตัวเด็ก เชื่อว่าครูในปัจจุบันพยายามใช้ระบบและวิธีการดังกล่าวกันบ้างแล้ว ทำอย่างไรจึงจะทำให้ครูมีสมรรถนะ ได้รับการเรียนรู้ในวิธีการสอนหรือวิธีการสอนของ STEM หรือ Finland Model หรือ CDIO ของสิงคโปร์ โดยโรงเรียนต้องจัดหา Leaning Space และ Work Space ให้พอเพียงแก่สถานภาพ ท้ายสุดที่เป็นปัจจัยสำคัญ คือ สัดส่วนของครูกับนักเรียน อุปกรณ์การเรียนการสอน และรายได้ของครู นั่นคือครูต้องเก่งและมีรายได้ที่เหมาะสมเป็นปัจจัยหนึ่งของการปฏิรูปการศึกษาให้ประสบผลสำเร็จ
ขอบคุณที่มาจาก สยามรัฐ 7 กุมภาพันธ์ 2560
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://www.kroobannok.com/81212